มาวมญฺเญถ ปุญฺญสฺส น มตฺตํ อาคมิสฺสติ
อุทพินฺทุนิปาเตน อุทกุมฺโภปิ ปูรติ
อาปูรติ ธีโร ปุญฺญสฺส โถกํ โถกํปิ อาจินํ

“บุคคลไม่ควรดูหมิ่นบุญ ว่าบุญมีประมาณน้อยจักไม่มาถึง แม้หม้อน้ำยังเต็มด้วยหยาดน้ำ ที่ตกลงมาทีละหยดได้ ฉันใด บุคคลผู้มีปัญญา สั่งสมบุญแม้ทีละน้อย ย่อมเต็มด้วยบุญได้ ฉันนั้น”

“Drop by drop is the water pot filled. Likewise, the wise man, gathering it little by little, fills himself with good.”

ในสมัยพุทธกาล ชาวเมืองสาวัตถีพากันถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์ โดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข วันหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงกระทำอนุโมทนาตรัสแก่ชาวเมืองทั้งหลายว่า

“บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้ทานด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวนผู้อื่น เขาย่อมได้โภคทรัพย์สมบัติ แต่ไม่ได้บริวารสมบัติในที่ที่ตนบังเกิดแล้ว บางคนไม่ให้ทานด้วยตนเอง แต่ชักชวนคนอื่น เขาย่อมได้บริวารสมบัติ แต่ไม่ได้โภคทรัพย์สมบัติในที่ที่ตนบังเกิดแล้ว บางคนไม่ให้ทานด้วยตนเองและไม่ชักชวนคนอื่น เขาย่อมไม่ได้ทั้งโภคทรัพย์สมบัติและบริวารสมบัติ ในที่ที่ตนบังเกิดแล้ว บางคนให้ทานด้วยตนเองและชักชวนคนอื่นด้วย เขาย่อมได้ทั้งโภคทรัพย์สมบัติและบริวารสมบัติในที่ที่ตนบังเกิดแล้ว”

เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุโมทนาจบ อุบาสกท่านหนึ่งมีความปรารถนาจะได้บุญใหญ่ เขาได้กระทำเหตุที่เป็นทางมาแห่งโภคทรัพย์สมบัติและบริวารสมบัติ จึงกราบทูลอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันพรุ่งนี้ขอพระองค์ได้โปรดรับภิกษาของพวกข้าพระองค์เถิด” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “ต้องการพระภิกษุจำนวนเท่าไร” เขาตอบว่า “ต้องการทั้งหมดพระเจ้าข้า”

พระพุทธองค์ทรงเมตตารับการอาราธนาของเขา อุบาสกนั้นเดินประกาศข่าวบุญแก่ชาวเมืองเชิญชวนมหาชน ทั้งหลายให้มาถวายทานแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าพระสงฆ์สาวก โดยมีการรวบรวมข้าวปลาอาหารหวานคาวทุกชนิด และมาช่วยกันจัดเตรียมภัตตาหารในที่เดียวกัน เมื่ออุบาสกประกาศข่าวบุญไปเช่นนั้น ชาวเมืองจำนวนมากพากันนำอาหาร และจตุปัจจัยไทยธรรมมาร่วมบุญด้วย

อุบาสกทำหน้าที่ยอดกัลยาณมิตรด้วยใจที่เบิกบาน เขาเดินประกาศข่าวบุญไปจนถึงหน้าร้านของเศรษฐีคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้มีความตระหนี่ เมื่อเศรษฐีเห็นอุบาสกมาบอกบุญที่หน้าร้าน ของตน ก็รู้สึกขัดเคืองว่า ทำไมไม่นิมนต์พระให้พอเหมาะแก่กำลังของตน มาเที่ยวรบกวนชาวบ้านอย่างนี้ ทำให้คนอื่น เดือดร้อน แต่เศรษฐีก็ร่วมบุญด้วยเล็กน้อยเพราะกลัวเสียหน้า โดยใช้นิ้วมือ ๓ นิ้ว หยิบข้าวสารและถั่ว รินเนยใสและน้ำอ้อยให้อีกนิดหน่อย อุบาสกก็รับของเหล่านั้นและขออนุโมทนาบุญด้วยความเบิกบานใจ โดยใส่ในภาชนะต่างหากไม่ปะปนกับของคนอื่น

เศรษฐีเห็นอุบาสกทำเช่นนั้น จึงเกิดความสงสัย ได้ส่งลูกน้องของตนติดตามอุบาสกนั้นไป เพื่อดูว่าเขาจะเอาสิ่งของของตนไปทำอะไร อุบาสกได้นำของที่ท่านเศรษฐีให้มา ผสมรวมกับของชาวเมือง และกล่าวว่า ขอให้ท่านเศรษฐีได้อานิสงส์แห่งบุญใหญ่ ในการร่วมบุญครั้งนี้ด้วย เมื่อลูกน้องเศรษฐีได้เห็นและได้ฟังดังนั้น ก็รีบกลับไปรายงานเศรษฐี แต่เศรษฐียังระแวงอีกว่า อาจจะถูกอุบาสกนั้นประจานตนเอง ในท่ามกลางพุทธบริษัท เพราะตนบริจาคทานอย่างเสียไม่ได้

รุ่งขึ้น เศรษฐีพกมีดเดินตรงไปยังบ้านของอุบาสก และเดินติดตามอุบาสกตลอดเวลา หมายจะแทงอุบาสกทันทีที่อุบาสกประกาศว่าตนเป็นคนตระหนี่ ฝ่ายอุบาสกเมื่อถวาย ภัตตาหารแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์แล้ว ก็กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ชักชวนมหาชนมากมายมาร่วมกันถวายทานในครั้งนี้ ทุกคนก็ให้สิ่งของต่างๆ มากบ้างน้อยบ้าง ตามกำลังของตน ขออานิสงส์ที่จะบังเกิดขึ้น จงมีแก่มหาชนเหล่านั้นทุกคนเทอญ”

เศรษฐีฟังดังนั้นเกิดความร้อนใจ คิดว่า เรามาในวันนี้ เพื่อจะทำร้ายอุบาสก แต่เขากลับให้เราได้รับผลบุญอันยิ่งใหญ่ แม้เราจะให้ทานเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่เขาไม่ได้ดูหมิ่นในทานของเราเลย ถ้าเราไม่ขอโทษเขา เทวดาจะต้องลงโทษเราแน่ คิดดังนั้นแล้ว เศรษฐีจึงหมอบลงแทบเท้าอุบาสก และขอให้อุบาสกยกโทษให้ อุบาสกจึงถามว่า “มีอะไรเกิดขึ้นหรือ” เศรษฐี จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง

พระพุทธองค์ทรงรู้เหตุการณ์ทั้งหมด จึงตรัสกับอุบาสกว่า “ขึ้นชื่อว่าบุญ อันใครๆ ไม่ควรดูหมิ่นว่าเล็กน้อย บุคคลถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์ โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขแล้ว ไม่ควรดูหมิ่นบุญว่าเล็กน้อย เพราะว่าบุคคลผู้ฉลาดในการทำบุญ ย่อมเต็มเปี่ยมไปด้วยบุญโดยลำดับ เปรียบเหมือนภาชนะที่เปิดฝา ย่อมเต็มไปด้วยน้ำ ฉะนั้น”

ในกาลจบเทศนา เศรษฐีนั้นบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว.
พระธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แม้แก่บริษัทที่มาประชุมกัน ดังนี้แล.